วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

แนะนำตัวเอง


ชื่อ เด็กหญิงสริตา  วันละ  ชั้น ม.3/8  เลที่  51 ชื่อเล่น  อาย
การเรียน เรียนบ้างเล่นบ้างเป็นบางเวลา ส่วนมาก (เล่น) เรียน
นิสัย ดี (มั้ง)







เพลงที่ชอบ


ถ้าคนไหนโสดได้โปนดส่งเสียงมาหน่อย ><

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

วันแม่


   พระคุณแม่

พระคุณของแม่ และแน่นอนรวมทั้งพระคุณของพ่อด้วย ในแง่มุมต่างๆ นั้น มีอยู่มากมาย จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและโบราณจารย์ต่างๆ ถึงกับสรุปออกมาว่า พระคุณของพ่อแม่มีมากจนกระทั่งว่า

            ถ้าจะเอาแผ่นฟ้ามาแทนกระดาษ เอาน้ำในมหาสมุทรมาแทนน้ำหมึก เอาเขาพระสุเมรุ ที่ถือว่าเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุด มาแทนปากกา แล้วบรรจงเขียนพรรณนา พระคุณของพ่อ พระคุณของแม่ จนกระทั่งตัวอักษรเต็มผืนฟ้า น้ำทะเลหมดมหาสมุทร เขาพระสุเมรุทั้งลูกก็สึกราบเรียบไปหมด แม้กระนั้นก็ยังพรรณนาพระคุณของท่านไม่จบเลย

            คำอุปมานี้บางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่า มากเกินไปหรือเปล่า ซึ่งจะว่ามากไปก็มีส่วนถูก จะว่าน้อยไปก็มีส่วนถูก เพราะขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้น เป็นใคร เพราะอย่าว่าแต่แผ่นฟ้า ทั้งผืนเลย แค่กระดาษชิ้นเท่าฝ่ามือ ถ้าให้คนบ้าเขียนพรรณนาพระคุณแม่ เขาคงเขียนไม่ได้ หรือถ้าเขียนได้ ก็คงเขียนไม่เต็มกระดาษแผ่นนั้น

            ในเวลาเดียวกัน สำหรับผู้ที่เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ โดยเฉพาะเป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ ทั้งทางโลกและทางธรรม แผ่นฟ้าทั้งผืนก็ไม่พอที่จะเขียนพรรณนาพระคุณของแม่จริงๆ
         เพราะฉะนั้น วันนี้หลวงพ่อจะกล่าวถึงพระคุณแม่โดยย่อๆ เพื่อให้พวกเราได้ทราบว่า พระคุณแม่นั้นมีมากมายอย่างไร
           ๑. ท่านให้กำเนิดเรามา พอพูดอย่างนี้ หลายคนอาจจะเถียงว่า แล้วถ้าแม่ทำแท้งเสียก่อนล่ะ ถ้าแม่ทำแท้งเสียก่อน เอ็งก็ไม่ได้มานั่งฟังหลวงพ่อเทศน์อยู่อย่างนี้หรอก

           ๒. ท่านให้รูปร่างที่เป็นคนแก่เรา ภาษาพระใช้คำว่า แม่ให้โลกนี้แก่เรา ซึ่งฟังแล้วเราอาจ จะไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะคำว่า "โลก" ที่เราเข้าใจโดยทั่วไปนั้น หมายถึงโลกที่เราอยู่ แต่ว่าในความหมาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในความหมายทางธรรม ไม่ใช่เพียงแค่นั้น
            พระสารีบุตรท่านเคยให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า สิ่งที่ยังฉิบหายได้เรียกว่า โลก แล้วท่านก็ให้ความหมายของคำว่า "โลก" เอาไว้โดยย่อมีอยู่ ๓ ประการ คือ
           ๑. โลก หมายถึง สังขารโลก คือ ร่างกายและจิตใจของคนเรา สังขารโลกของใครก็ของคนนั้น
          
            ๒. โลก หมายถึง สัตวโลก คือ ยกเว้นตัวเราแล้ว สิ่งมีชีวิตนอกนั้นเป็นสัตวโลกทั้งหมด

           ๓. โลก หมายถึง โอกาสโลก คือ ช่องว่างให้สัตวโลกได้อยู่อาศัย โลกทั้งโลกที่เราอยู่ก็เป็น โอกาสโลกของมนุษย์ สวรรค์กี่ชั้นๆ ก็เป็น โอกาสโลกของเทวดา และนรกก็เป็น โอกาสโลกของสัตว์นรก

            เพราะฉะนั้น พระคุณแม่ในข้อที่ให้โลกนี้แก่เรา คือ

            ประการที่ ๑ ท่านให้ร่างกายพร้อมด้วยจิตใจกับเรา

            ประการที่ ๒ ท่านทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของสัตวโลกทั้งโลกนั่นแหละ คือ สอนให้เรารู้จักคน รวมทั้งสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ไปตามลำดับๆ

            ประการที่ ๓ ท่านสอนให้เรารู้จักกับโอกาสโลก คือ แผ่นดิน แผ่นฟ้า แผ่นน้ำ ที่เราได้อยู่อาศัย

            เพราะฉะนั้น พระคุณแม่เอาจริงๆ เข้าแล้ว มีตั้งแต่ให้โอกาสเรามีชีวิตจนกระทั่งออกมาดูโลก ให้รูปร่างที่เป็นคน แล้วก็หาพื้นที่บนโลกอย่างพอเหมาะพอสม ให้เราได้อยู่อาศัยอย่างมีความสุข

            ส่วนคำว่า "สังขารโลก" คือ ร่างกายและจิตใจ หรือพูดง่ายๆ ว่า คือตัวเรา ถ้าพูดในเชิงธรรมะ ต้องบอกว่า

            ตัวเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิง ไม่ว่าจะเป็นชาย จะสูงต่ำดำขาว จะโง่หรือฉลาด ก็ตาม ล้วนมีที่มา คือ กรรมดี กรรมชั่ว ที่สร้างข้ามภพข้ามชาติมานั่นเอง

            แต่ถ้าพอเหมาะพอดีแก่กรรมของเราแล้ว แม่ไม่ให้ยืมท้องเกิด ต้องไปอาศัยท้องของคนอื่นเกิด นี่ยุ่งเลย เพราะของอาศัยจะให้ดีเท่าของจริงนั้น เป็นเรื่องยาก ยิ่งไปอาศัยท้องแม่ที่ไม่ได้เป็นคนล่ะก็ แย่เลย

            เพราะฉะนั้น แค่แม่ให้อาศัยท้องเกิด ให้มีรูปร่างที่เป็นคน แล้วก็มีคุณภาพขนาดนี้ พระคุณของท่านไม่ต้องพูดกัน ว่าจะมากมายขนาดไหน

            แม้ว่าบางคนเมื่อคลอดออกมาแล้ว อาจจะไม่หล่อ อาจจะไม่สวย หรืออาจจะพิกลพิการ บางส่วนไปบ้าง ก็อย่าเพิ่งน้อยใจ อย่าไปตัดพ้อต่อว่าใคร ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองดีกว่า ว่าเราสร้างความดี มาไม่พอ เราทำกรรมมาไม่ดีเอง เราถึงได้เป็นอย่างนี้ และไม่ต้องพิกลพิการไปมากกว่านี้ก็ดีแล้ว

           ยกตัวอย่างแม้ตาจะบอดไปสักข้าง หรือขาจะเป๋ไปบ้าง ก็ก้มหน้ารับกรรม ที่เราเคยทำมาเถอะ ได้เกิดเป็นคนก็ดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ยัง มีโอกาสสร้างความดี นี่ถ้าไปเกิดเป็นสุนัขล่ะก็ สร้างความดี อย่างนี้ไม่ได้หรอก

           แต่ไม่ว่าจะมีสภาพอย่างไร เมื่อคลอดออกมาแล้ว แม่ก็เลี้ยงด้วยความเต็มอกเต็มใจ คอยประคบประหงม มาอย่างดี ไม่ได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์เลย เลี้ยงอย่างสุดฝีมือ เต็มกำลัง ของท่านทีเดียว

            ความจริงเวลาที่ คลอดออกมาใหม่ๆ นั้น ตัวของเราแดง อย่างกับลูกนกอนาคต จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จะมีเชื้อพิการ หรือจะมีเชื้อโรคร้ายอยู่ในตัวบ้างหรือเปล่า ก็ไม่รู้ แต่ว่าแม่ก็ยัง สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างดี เหนื่อยแทบตายก็เลี้ยง เสี่ยงเท่าไหร่ก็เลี้ยง ทั้งที่เราก็ไม่เคยรับปาก เลยว่า พอโตขึ้นมาจะทำ อะไรให้ท่านบ้าง สัญญาสักฉบับก็ไม่เคยทำให้ท่าน
           ในขณะที่เราจะทำอะไรให้ใครสักอย่าง แค่จะให้เขายืมเงินสัก ๑,๐๐๐ บาท ๑๐,๐๐๐ บาท ยังต้องให้เขาทำสัญญาเสียก่อน แต่แม่เลี้ยงเรามาไม่รู้หมดเงินไปเท่าไหร่ สัญญาสักฉบับก็ไม่เคยมี
ถามว่าท่านโง่หรือ ท่านไม่ได้โง่หรอก แต่เพราะท่านมีความเมตตากรุณากับเราอย่างท่วมท้นนั่นเอง ท่านจึงเลี้ยงเรามา

          เพราะฉะนั้น ถ้าใครเคยคิดตัดพ้อต่อว่าคุณแม่ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไร แม้สักนิดหนึ่งก็ตาม วันแม่แห่งชาติที่จะถึงนี้ รีบไปกราบขอโทษท่าน หรือไม่ต้องรอจนถึงวันแม่แห่งชาติก็ได้ คืนนี้ไปกราบ ขอโทษท่านเสียดีๆ
        ส่วนผู้ที่คุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว ก็กลับไปจุดธูปจุดเทียนไว้ให้ดี แล้วคืนนี้นั่งสมาธิส่งบุญกุศล ไปให้ท่านเยอะๆ
        แล้วรูปร่าง ที่เป็นมนุษย์ ที่แม่ให้มานี้ดีอย่างไร ร่างกายมนุษย์เมื่อ เทียบกับร่างกายเสือ ร่างกายช้าง ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่ง ความแข็งแรง ก็สู้เสือ สู้ช้าง ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ร่างกายมนุษย์นี้ ก็เหมาะในการ ที่จะทำความดีได้ ทุกรูปแบบ ซึ่งสัตวโลก ชนิดอื่นทำไม่ได้

        ยกตัวอย่าง เสือ ช้าง จะแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม มันก็ได้แต่แข็งแรงเท่านั้น จะเอาไปประกอบ คุณงาม ความดีอะไรก็ไม่ได้ แค่จะเอาอาหารไปฝาก แม่ของมันสักมื้อ ก็ยากแล้ว แต่มนุษย์ทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย
           เพราะฉะนั้น รูปร่างของคนเรานี้ ถ้าเปรียบเป็นโรงงาน ก็เป็นโรงงานชนิด ที่สามารถผลิตความดี ได้อย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด กว่าบรรดาโรงงานทั้งหลาย
           ร่างกายที่มีประสิทธิภาพอย่างนี้ เราได้มาจากแม่ แม่ให้โรงงานนี้แก่เรา ไม่ใช่คนอื่นให้ และไม่ใช่เทวดาเสกมาให้ด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังขารโลกของเรา มีคุณตรงที่ว่า สามารถเอามา ประกอบคุณงามความดีได้สารพัด
           แต่ว่าถ้าแม่ไม่ได้อบรม ไม่ได้สั่งสอน ไม่ได้ปลูกฝังให้เราทำแต่ความดีเรื่อยมาแล้ว เราก็อาจจะเอาสังขารโลกที่ได้มา ไปใช้ในทางที่เสื่อมเสีย หรือเอาไปใช้ถล่มทลายเหมือนอย่างกับหลายๆ คนในโลกนี้ ที่เขาถล่มทลายสังขารโลกของเขา ให้เราดู
           ยกตัวอย่าง ที่เราต้องมาเป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ต้องมาต่อสู้ ต้องมารณรงค์กันทุกวันนี้ ก็เนื่องจากเห็นเขากำลังทำลายสังขารโลกของตัวเอง ด้วยการดื่มเหล้าบ้าง ด้วยการสูบบุหรี่บ้าง เราก็เลย ต้องมา เทเหล้าเผาบุหรี่ช่วยเขาอยู่นี่ ซึ่งถ้าไม่ได้คุณแม่ปูพื้นฐานมาให้ตั้งแต่ต้น เราก็คงจะมอง ไม่ออกเหมือนกัน
           เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นทางแห่งความดีทั้งหลายของเรา จึงเริ่มต้นมาจากแม่ทั้งนั้น อย่านึกว่า ตัวเองเก่งไป แค่ท่านจับโยนลงถังขยะ หรือไม่ยอมให้เกิดในท้องของท่านล่ะก็ ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้กันหรอก
           เพราะฉะนั้น พระคุณของแม่ที่อุปมาว่า พรรณนาจนกระทั่ง แผ่นฟ้าเต็มไปด้วยตัวอักษร น้ำในมหาสมุทรที่เอา มาแทนน้ำหมึก ก็เหือดแห้งไป และเขาพระสุเมรุ ที่เอามาใช้เป็นปากกา ก็สึกไปจนหมดนั้น ท่านหมายถึง แม่ประเภทที่ นอกจากให้ชีวิต ให้ร่างกายที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังให้การอบรมสั่งสอน ให้ลูกเป็นคนดีทั้งทางโลกและทางธรรม จนกระทั่งลูกสามารถ เข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ซึ่งเรียกว่า "แม่แก้ว" นั่นเอง
           ไม่ใช่แม่ประเภทที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ อยู่นั่นแหละ เลี้ยงลูกแค่พอให้โตขึ้นมา แล้วต่างคนก็ต่างไป
           "ลูกเอ๊ย แม่รักลูกมาก เอากะลานี้ไปขอทานนะ ถ้าเป็นคนอื่นแม่ไม่ให้หรอก"
           หรือว่า "แม่รักลูกมาก แม่จึงสอนวิชาขโมยให้" อย่างนี้ไม่ใช่แม่แก้วแล้ว
         ส่วนผู้ที่เป็นลูกก็เหมือนกัน นอกจากจะทำตัวเป็นลูกที่ดี เชื่อฟังและทำตามที่คุณแม่ ได้อบรมสั่งสอนอย่างดีแล้ว ถ้าคุณแม่ของใครยังไม่ทำทาน ยังไม่รักษาศีล ยังไม่นั่งสมาธิ ก็ต้องพยายาม ที่จะทำให้ท่าน รักในการทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิ จนกระทั่งท่านเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ลูกแก้วอีกเหมือนกัน

         เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างกลับไปดูใจของตัวเองก็แล้วกัน ว่าเป็นแม่แก้ว หรือว่าเป็นลูกแก้ว กันหรือยัง

วันมาฆบูชา


 
วันมาฆบูชา 

 

  ทำ<a href=http://www.dmc.tv/pages/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89.html title='บุญ' target=_blank><font color=#333333>บุญ</font></a><a href=http://www.dmc.tv/pages/meritorious_news/20100814_give_alms_1,000,000.html title='ตักบาตร' target=_blank><font color=#333333>ตักบาตร</font></a>ในวันมาฆบูชา
 
พิธีตักบาตรตอนเช้า เนื่องในวันมาฆบูชา 

     เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า "วันมาฆบูชา" เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะมีเหตุการณ์พิเศษที่มาบรรจบกัน 4 ประการ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า "จาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นประดุจการปฐมนิเทศในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่โลกต้องจารึก เพราะเป็นการประชุมของผู้บริสุทธิ์ล้วนๆ และเป็นครั้งแรกที่มีการประขุมเพื่อรับฟังทิศทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เป็นไปในทิศทางเดียกัน

จุดโคมมาฆประทีปเนื่องในวันมาฆบูชา
 
 จุดโคมมาฆประทีปเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในวันมาฆบูชา

เหตุอัศจรรย์ในวันมาฆบูชา 4 ประการ
 
1. เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือน 3 )
2. พระภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
3. ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ ผู้ทรงอภิญญา
4. พระภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ซึ่งพระบรมศาสดาทรงประทานการบวชให้
 
มีใครบ้างมาเข้าร่วมประชุม
 
     พระอรหันต์จำนวน 1,250 รูป ที่เข้าร่วมสันนิบาตในครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ
 
     กลุ่มที่ 1 คณะพระภิกษุอดีตชฏิล 3 พี่น้อง มีท่านอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้า และบริวารทั้งหมด 1,000 รูป
 
     กลุ่มที่ 2 คณะที่เป็นบริวารของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ มีจำนวน 250 รูป
 
      การที่มีพระภิกษุจำนวนถึง 1,250 รูปมาเป็นองค์ประชุมสันนิบาตในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการปักหลักพระพุทธศาสนา โดยเริ่มจากแคว้นมคธ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ เพราะเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในอินเดียสมัยก่อน เป็นแหล่งรวมความเจริญในทุกด้าน และมีเจ้าลัทธิต่างๆ แข่งขันกันเรียกความศรัทธา ความเชื่อ จากประชาชนอยู่มากมาย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงต้องทำอย่างเต็มที่โดยอาศัยกำลังจากภิกษุผู้เป็นคนท้องถิ่นของแคว้นนี้เป็นหลักก่อน ซึ่งภิกษุทั้ง 2 คณะนี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสม คือแรกเริ่มเดิมทีก็เคยเป็นนักบวชอาศัยในเมืองนี้อยู่แล้ว การแนะนำสั่งสอนพระสัทธรรมอันบริสุทะิ์แก่ชาวชมพูทวีปจึงเป็นไปได้ง่าย การมาชุมนุมกันของพระอรหันตสาวกในครั้งนี้นั้น ถือว่าเป็นมหาสาวกสันนิบาตที่ต้องเร่งทำให้เร็วที่สุด คล้ายๆ จะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระทัยของพระพุทธองค์มาตั้งแต่ครั้งยังทรงเริ่มประกาศปฐมเทศนา เพียงแต่กำลังทรงรอคอยบุคคลผู้หนึ่ง ผู้ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์ของกองทัพธรรมอยู่ นั่นก็คือ พระสารีบุตร ซึ่งเมื่อท่านได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ถือได้ว่าพระธรรมเสนาบดีได้บังเกิดขึ้น ดุจขุนพลแก้วบังเกิดแล้วแก่พระเจ้าจักรพรรดิ โดยท่านจะมาเป็นหัวเรือใหญ่รับสนองนดยบายภารกิจนี้โดยตรง เมื่อการรอคอยของพุทธองค์บรรลุผล จึงทรงทำการประชุมสาวกสันนิบาตทันทีในวันเดียวกันนั้นเอง โดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า เพราะทรงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่กองทัพธรรมจะต้องเร่งรุดขยายให้ได้กว้างไกลที่สุด ฉะนั้นจำต้องมียุทธศาสตร์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงได้ทรงประทาน "โอวาทปาฏิโมกข์" เพื่อไว้ใช้เป็นแม่บทในการประกาศพระศาสนา
 
 
<a href=http://www.dmc.tv/search/สาธุ title='สาธุ' target=_blank><font color=#333333>สาธุ</font></a>ชาร่วมกันจุดโคมในวันมาฆบูชา
 
 ชาวต่างชาติร่วมกันจุดโคมมาฆประทีป

     การประชุมมหาสาวกสันนิบาตนั้น ในยุคของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ มีการประชุมมากกว่า 1 ครั้ง ดังเช่น ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้ทรงประชุมสาวกสันนิบาตถึง 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 มีพระอรหันตสาวก 100,000 โกฏิ ครั้งที่ 2 มีจำนวน 90,000 โกฏิ ครั้งที่ 3 มีจำนวน 80,000 โกฏิ แต่ละครั้งก็จะทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเหมือนที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงประทานเอาไว้ทุกอย่าง
 
สาระสำคัญของโอวาทปาฏิโมกข์     
 
     โอวาทปาฏิโมกข์ชื่อว่าเป็นแม่บทในการเผยแผ่คำสอนพุทธศาสนา เป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่ส่งเสริมให้มนุษย์มีความรักที่แท้จริงต่อกัน โอวาทปาฏิโมกข์แบ่งโครงสร้างออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ คือ อุดมการณ์ หลักการ และวิธีการ ดังนี้


โคมที่ใช้จุดในวันมาฆบูชา
 
ส่วนหนึ่งของกิจกรรมวันมาฆบูชา
 
อุดมการณ์ คือ เป้าหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิต มี 3 ประการ ได้แก่

     1. ความอดทน คือ ทนต่อความยากลำบากทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นตบะคอยเผาผลาญกิเลสให้หลุดร่อนจากใจ ทนได้ก็ไปนิพพานได้ (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา)
 
     2. นิพพาน คือ เป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติทั้งหมด (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)
 
     3. ไม่เบียดเบียนกัน คือ การเลิกก่อเวรเบียดเบียนทำร้ายทางกายและจิตใจ อยู่อย่างสงบเหมือนสมณะ จึงจะสามารถทำใจให้หยุดนิ่งได้ง่าย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเห ฐยนฺโต)
 

โคมมาฆประทีป
 
จุดโคมบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันมาฆบูชา

หลักการ คือ หลักการดำเินินชีวิตที่ถูกต้องมี 3 ประการ ได้แก่
 
1. ไม่ทำบาปทุกชนิด จะบาปมากหรือบาปน้อยก็ไม่ทำ เพราะมีกฏแห่งกรรมคอยบังคับอยู่ ต้องศึกษาจากท่านผู้รู้ว่าสิ่งใดควรทำ หรือไม่ควรทำ บาปแม้เพียงน้อยนิดไม่คิดทำ (สพฺพปาปสฺส อกรณํ)
2. ทำความดีให้ถึงพร้อม ความดีอะไรที่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสต้องทำให้เต็มที่ บุญแม้น้อยนิดก็ต้องคิดทำ ไม่ว่าคนอื่นจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม (กุสลสฺสูปสมฺปทา)
3. กลั่นจิตของตนให้ใส โดยหมั่นนั่งสมาธิ(Meditation)ทุกวันไม่ให้ขาด เมื่อใจใสมากแล้ว พระนิพพานก็ไม่ไกลเกินจะไปถึง เพราะสมาธิก็คือใจที่ตั้งมั่นที่เป็นกุศล (สจิตฺตปริโยทปนํ)       

 
จุดโคมมาฆประทีป ในวันมาฆบูชา 
 
โคมเอก ที่ใช้จุดในวันมาฆบูชา
 
วิธีการ คือ แนวทางปฏิบัติฝึกหัดขัดเกลาตนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนามี 6 ประการ คือ 
 
1. ไม่ไปว่าร้ายกัน ผู้เผยแผ่คำสอนจะต้องไม่โจมตี ไม่นินทาใคร (อนูปวาโท)
 
2. ไม่ไปล้างผลาญกัน ไม่เผยแผ่ศาสนาด้วยการฆ่า และต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน (อนูปฆาโต)
 
3. สำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นข้อที่ได้ตรัสห้ามไว้ และทำตามข้อที่ทรงอนุญาต (ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร)
 
4. ต้องรู้จักประมาณในการกิน การใช้เครื่องอุปโภคบริโภคทุกอย่าง (มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสมึ)
 
5. เลือกที่นั่งที่นอนในที่สงบ เพื่อให้ตนเองมีโอกาสในการบำเพ็ญเพียรเต็มที่ (ปนฺตญฺจ สยนาสนํ)
 
6. ประกอบความเพียรในการทำใจหยุดนิ่งอยู่เสมอ มุ่งทำตนให้หลุดพ้นจากกิเลส (อธิจิตฺ เต จ อาโยโค)
 

วันมาฆบูชา
 
 พุทธศาสนิกชนมาร่วมพิธีในวันมาฆบูชา 
  

     โอวาทปาฏิโมกข์ทั้ง 3 ส่วนนี้ เป็นหลักปฏิบัติและนโยบายในการเผยแผ่ของพระพุทธศาสนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทานให้แก่พระอรหันต์ชุดแรกที่ได้ออกไปประกาศพระศาสนาในโอกาสที่ได้มาประชุมพร้อมเพรียงกัน เพื่อให้ถือเป็นนโยบายและหลักปฏิบัติในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เป็นแนวทาง เดียวกัน การประชุมพระอรหันตสาวกเช่นนี้ เพื่อประทานนโยบายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ได้มีแต่ในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ในกัปนี้เท่านั้น แต่ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ในอดีตก็ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์  แต่จำนวนครั้งในการประชุมภิกษุสาวกและจำนวนพระอรหันตสาวกที่เข้าร่วมประชุมต่างกัน จะเห็นได้ว่า วิธีการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน คือ เมื่อทรงฝึกพระอรหันต์ชุดแรก สำหรับเป็นครูและเป็นต้นแบบให้กับชาวโลกได้จำนวนมากพอสมควรแล้ว ก็ส่งออกไปประกาศพระพุทธศาสนา และเมื่อคราวที่พระอรหันตสาวกเหล่านั้น มาประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน พระพุทธองค์ก็ทรงประทานนโยบายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อจะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทะเลแห่งทุกข์ ไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพาน
จุดโคมทำได้ทุกเพศทุกวัย
 
ขอเชิญมาสัมผัสช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ในวันมาฆบูชา ณ วัดพระธรรมกาย
 
       ท่านผู้มีบุญทั้งหลาย ลองนึกดูเถิดว่า เพราะการรวมตัวกันของเหล่าพุทธบุตรในวันมาฆบูชาครั้งนั้น ทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีการสืบทอดคำสอนมายาวนานถึง 2,500 กว่าปี หากในยุคปัจจุบันนี้ พุทธบุตรทุกนิกายทั่วทุกมุมโลกมารวมชุมนุมสันนิบาตเป็นมหาสมาคมใหญ่อีกครั้ง โดยยึดหลักการสมานฉันท์ว่า "พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว" มาปรึกษาหารือกันเพื่อศึกษาคำสอนดั้งเดิม เพื่อให้การเผยแผ่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รังสีธรรมอันบริสุทธิ์จะเจิดจ้าเพียงใด ภารกิจบุญนี้ถือเป็นกรณียกิจที่เหล่านักสร้างบารมีจะต้องรีบทำให้เกิดขึ้นจริงๆ ในเร็ววัน สันติภาพจะได้แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมโลก โดยเราจะได้พร้อมใจกันกราบนิมนต์พุทธบุตรทุกนิกายจากทั่วโลกเรือนล้านให้ได้มาประชุมรวมกัน ณ มหารัตนวิหารคด ในวันมาฆบูชานี้
 
พิธีจุดโคมในวันมาฆบูชา
 
จุดโคมประทีปกิจกรรมที่ถือปฏิบัติในวันมาฆบูชา
 
     วันมาฆบูชา เป็นวันแห่งความรักของชาวพุทธ เพราะเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงออกซึ่งความรักต่อมวลมนุษชาติอย่างแท้จริง ความรักของพระองค์เป็นความเมตตา ความปรารถนาดีต่อทุกสรรพชีวิตด้วยความจริงใจ ทรงลำบากพระวรกายเผยแผ่พระศาสนาจนตลอดพระชนม์ชีพ ยาวนานถึง 45 ปี เพราะอยากจะให้มวลมนุษยชาติได้เข้าถึงหนทางแห่งความสุขภายในอันประเสริฐ คือหนทางสายกลางภายในดวงใจของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
 
วันมาฆบูชา วัดพระธรรมกาย
 
 วันมาฆบูชา ณ วัดพระธรรมกาย
  
     ดังนั้น หัวใจแห่งพระพุทธศาสนา หรือ "โอวาทปาฏิโมกข์" ที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ในวันมาฆบูชา เป็นแม่บทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น เมื่อใครได้นำหลักการเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง ย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตา อันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านทางพระธรรมคำสอนของพระองค์ที่ไม่เคยเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา

  ปัจจุบันวันมาฆบูชาเป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยในวันนี้จะมีการประกอบพิธีต่างๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

จุดโคมบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันมาฆบูชา
 
จุดโคมมาฆประทีปในวันมาฆบูชาของทุกปี ณ วัดพระธรรมกาย 
 
     อีกทั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นทั้งหญิงและชายมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก(อันบริสุทธิ์)แทน
 
จุดโคมและจุดพลุในวันมาฆบูชา
 
พุทธศาสนิกชนร่วมกันจุดโคมมาฆประทีปเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันมาฆบูชาของทุกปี

     โดยในวันมาฆบูชาของทุกปี วัดพระธรรมกายจะได้มีการจัดปฏิบัติธรรมในช่วงเช้า และมีการจุดโคมมาฆประทีปในช่วงค่ำ ซึ่งพุทธศาสนิกชนผู้ใคร่ในธรรม จะสวมชุดขาวขาวมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
 
     เนื่องในวันมาฆบูชานี้ เหล่าพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ควรจะให้ความสำคัญในการเจริญพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ ด้วยการมาพร้อมใจกันประพฤติปฏิบัติธรรม ทั้งทำทานรักษาศีล และเจริญภาวนาที่วัดข้างบ้าน ส่วนที่วัดพระธรรมกายสาธุชนจะได้จุดมาฆประทีปเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เป็นการย้อนรำลึกถึงเมื่อคราวที่พระบรมศาสดาผู้มีเหล่าอรหันตสาวก 1,250 องค์ นั่งแวดล้อมอยู่เพื่อรับฟังโอวาทปาฏิโมกข์ในวันมาฆบูชาเมื่อ 2,500 กว่าปี การสั่งสมบุญในวันนี้ นอกจากได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ผู้เป็นต้นบุญต้นแบบของชาวโลกแล้ว มหากุศลอันไม่มีประมาณจะส่งผลดลบันดาลให้เราเป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไป และเป็นเหตุให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่าย ตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรม